สารจากประธานกรรมการ

เรียน ท่านผู้ถือหุ้น
ปี 2567 แม้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวมากขึ้น จาก 1.90 % เป็น 2.70 % แต่ถือได้ว่าเศรษฐกิจยังชะลอตัว และเติบโตจากการเริ่มฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวเป็นหลัก ปีที่ผ่านมาจึงเป็นปีที่หนักหน่วงต่อเนื่องสำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ นอกจากกำลังซื้อของผู้บริโภคถดถอยแล้ว ปัญหาหนี้สินครัวเรือนที่ยังแก้ไขไม่ได้ เป็นเหตุให้สถาบันการเงินเข้มงวดมากในการอนุมัติสินเชื่อ อัตราการปฏิเสธสูงมาก ส่งผลให้ผู้ซื้อไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ ยอดโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ทั้งประเทศไทยในปี 2567 มีเพียง 320,000 หน่วยเท่านั้น ลดลงถึง 15 เปอร์เซ็นต์ ถือเป็นยอดโอนที่ต่ำที่สุดในรอบ 8 ปีที่ผ่านมา แม้มีสินค้าพร้อมขายก็ยังขายหรือโอนไม่ได้ และเนื่องจากอุปทานในตลาดสูง ถือเป็นตลาดของผู้ซื้อ ผู้ขายจึงจำเป็นต้องขายในราคาที่ต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ด้วย ปี 2568 สถานการณ์นี้น่าจะยังคงต่อเนื่อง ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายรายจึงชะลอการทำโครงการหรือชะลอการเปิดตัวโครงการ
ปี 2567 บริษัทของเราขาดทุน 280 ล้านบาท จากอสังหาริมทรัพย์ 68 ล้านบาท ขาดทุนลดลงจากปีที่แล้ว 58% เพราะเรามียอดโอนกรรมสิทธิ์ 1,705 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 114% จากห้องชุดและบ้านโครงการ Sasara Hua Hin , The Issara Sathorn และ บ้านอิสสระ บางนา เป็นหลัก ส่วนธุรกิจโรงแรมมีผลขาดทุน 221 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 75 ล้านบาท ลูกค้าชาวไทยที่มีศักยภาพส่วนใหญ่นิยมการท่องเที่ยวในต่างประเทศ ประกอบกับการคมนาคมที่ไม่สะดวกและอันตราย ส่งผลให้ธุรกิจโรงแรมในโซนชะอำ-หัวหินมีรายได้ลดลงอย่างมาก ส่วนที่ภูเก็ต แม้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มมากขึ้น รายได้ของโรงแรมศรีพันวาก็ยังต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ ในขณะที่มีภาระในการจ่ายค่าเช่าคงที่แก่กองทรัสต์
นอกจากนี้สถานการณ์โลกและสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศที่เป็นอยู่ ทำให้เรายังไม่สามารถขายโครงการใหญ่คือ โรงแรม Baba Beach Club ทั้งที่ พังงาและชะอำให้กองทุนได้ อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าเชื่อมั่นในคุณภาพและคุณค่าของทรัพย์สินทั้งหมดของบริษัทว่า จะสามารถสร้างรายได้ให้บริษัทได้อย่างเหมาะสมในเวลาอันควรในอนาคต
ในด้านการบริหารโรงแรม พนักงานของเราพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเพิ่มรายได้จากงานอีเว้นท์ต่างๆ เช่น งานแต่งงาน งานจัดเลี้ยง งานสัมมนา ให้เป็นที่ประทับใจ เรายังได้ร่วมมือกับกลุ่ม BDMS เพิ่มบริการด้าน Wellness ที่ศรีพันวาเพื่อมุ่งสู่การเป็น “Wellcation” โดยจะเริ่มบริการในเดือนมีนาคมปีนี้ ข่าวดีเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เราสามารถแปลงสภาพกองทุนรวมบางกอก ( BKKCP ) ซึ่งเป็น Property Fund ให้เป็นกอง REIT ชื่อ กองทรัสต์อิสสระ ( ISSARA REIT ) โดยได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมโอนร้อยกว่าล้านบาท และจะสามารถทำให้กองทรัสต์นี้เติบโตได้ เพื่อผลประโยชน์ที่ดีขึ้นของผู้ถือหน่วยลงทุน ปีนี้เราจะนำทรัพย์สินที่มีผู้เช่า 100 % มูลค่า 177 ล้านบาทเข้ากองทรัสต์นี้อีกด้วย เพื่อให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง กลุ่มบริษัทชาญอิสสระฯ ลงทุนในโครงการใหม่ 6 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 16,000 ล้านบาท ทั้งที่กรุงเทพฯ ภูเก็ต และ หัวหิน เราตั้งใจสร้างสรรค์ทุกโครงการด้วยความปราณีต พร้อมคงทนแข็งแรง นำนวัตกรรมใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้ เพื่อพัฒนาคุณภาพการอยู่อาศัยที่ดี สร้างความคุ้มค่าให้ลูกค้า เพื่อดำรงไว้ซึ่งเป้าหมายของบริษัทที่ต้องการให้เป็น “Live Excellence”
ศรีวรา อิสสระ
ประธานกรรมการ